ขณะนั่งรถไปซักพัก มีรถโรงพยาบาลขับผ่านไป ก็มองตามวิสัยของมนุษย์ ที่สิ่งของเเล่นผ่านในระดับสายตา ไม่มีการเปิดไซเรน เราก็ไม่แปลกใจ รู้ทันทีว่า ต้องมีเที่ยวบินใด เที่ยวบินหนึ่งมี “ศพนอนอยู่ในโลงมาด้วย” มากับเที่ยวบินนั้น ซึ่งเป็นปกติ ของสายการบินพาณิชย์ โดยปสก.ส่วนตัวของสามี lynblue89 และเวลาร้องตามไปเที่ยวด้วย จะเห็นทั้งเหยี่ยว หมา แมว นก เป็นปกติ แต่ศพนี้ยังไม่เคย (หรือเคยแต่ ผู้โดยสารอย่างเรา ๆ ท่าน ๆไม่รู้ ??)
เกริ่นก่อนว่าไฟทล์นี้เป็นไฟทล์หนึ่งจากตะวันออกกลาง มายังไคโร เป็นไฟทล์เสริมพิเศษ เพราะผดส.เยอะมากมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ไฟทล์เสริมเพียบ …สามีเล่าว่า…พอเขารับกระดาษคือเอกสารรายงานจำนวนผดส.จำนวนกระเป๋าสิ่งของ และสัมภาระ เอาเป็นว่ารายงานทุกอย่าง จากมือผู้จัดการสถานีของเมืองนั้นแล้ว ก็เห็นว่ามีระบุโลงศพ บรรทุกมากับสัมภาระด้วย ซึ่งสัตว์ และศพ นั้น ต้องแจ้งการรายงานพิเศษมายังกัปตันเท่านั้น ผู้ช่วยนักบิน(Co-Pilot) ไม่มีสิทธิตัดสินใจ หรือรับรู้โดยปราศจากกัปตัน เนื่องจาก ต้องเช็คโลงว่า โอเคหรือ ไม่สภาพ ไม่มีผลต่อความปลอดภัยขณะทำการบิน หรือถ้ามีสัตว์มาด้วย lynblue89 ต้องเช็คอุหภูมิห้องสัมภาระด้วย ว่าต้องเพิ่ม หรือลด ซึ่งสัตว์บางชนิดเช่น เหยี่ยว ต้องปรับอุหภูมิให้สูงขึ้น เพราะมีผล เรื่องการช็อคของเหยี่ยว ถ้าเย็นเกินไปมาก ๆ
สามี At work กัปตันไฟทล์นี้ เลยเรียกหัวหน้าลูกเรือมา เพื่อแจ้งว่า วันนี้ มี “โลงศพ พร้อม ศพ” มาด้วย…เมื่อประชุมกับลูกเรือเสร็จ โอเค เตรียมรอ ผดส.บอร์ดขึ้นเครื่อง ระหว่างที่รอ ผดส.ทยอยขึ้นเครื่องนั้น มีลูกเรือหญิงคนหนึ่งเป็นชาวอินเดีย เธอกลัวมาก เมื่อรู้ว่ามีโลงศพ มาด้วย…เธอร้องไห้ เพื่อนร่วมงานก็ช่วยกันปลอบว่าเป็นอะไร เหนื่อยหรอ หรือว่าอะไร เธอก็ไม่ยอมบอกอะไรทั้งสิ้น จนเรื่องถึงสามี เลยถามว่าเป็นอะไร เธอสารภาพว่า กลัวศพ คือกลัวผี นั่นแหล่ะ ง่าย ๆ ภาษาไทยบ้านเรา สามีเลยบอกว่า อ่า ถ้างั้นนั่งเป็น dead head ไปล่ะกัน คือขากลับไม่ต้องทำงาน ให้นั่งพัก หรือไปนอนในห้องพักลูกเรือ เธอก็ขอบคุณแล้วก็ไปพัก..
ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี เครื่อง take off ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป ลูกเรือเดินมาบอกสามีว่า มี ผดส.หญิงชาวอียิปต์ร้องไห้ บอกว่าอยากกลับไปที่สนามบิน ที่เพิ่งจากมา เริ่มโวยวาย จนตำรวจ(ทุกเที่ยวบิน มีเจ้าหน้าที่หรือตำรวจนอกเครื่องแบบของสายการบินเดินทางไปด้วยทุกสายการบิน) เริ่มแสดงตน แล้วเข้าควบคุมสถานการณ์ สามีใช้ดุลยพินิจ เพราะเกี่ยวข้องเรื่องความปลอดภัย ติดต่อหอบังคับการบิน เพื่อกลับเข้าลงจอดอีกครั้ง แน่นอน เสียเวลาค่ะ …สามีเลยปล่อยให้ผู้ช่วยนักบิน ควบคุมเครื่อง แล้วเดินไปคุยกับ ผดส. คนนั้น ปรากฎว่าคุยไปคุยมา ทราบเรื่องว่า เธอเป็นเจ้าของโลงศพ ที่มากับเที่ยวบินนั้นด้วย แน่นอนสามีเลยเช็คกระดาษอีกครั้งว่า มีดีแคล์ว่ามีผู้แสดงตน เป็นเจ้าของในทรัพย์สินดังกล่าว เดินทางมาด้วย
เธอบอกกับสามี เราว่า ศพในนั้นเป็นสามีของหล่อนเอง และระหว่างที่ผดส. ทยอยขึ้นเครื่องนั้น สามีเธออยู่กับเธอตลอดเวลา ขณะเดินขึ้นเครื่อง เอาล่ะซิ สามีดิฉันไม่เชื่อเรื่อง แบบนี้ แต่เล่นเอาช็อค !! สามีเลยย้ายผู้หญิงคนนั้น มานั่งชั้นหนึ่ง เพราะที่ว่างอยู่สองที่ ให้เธอนั่งคนเดียว เผื่ออยากหลับ หรือสบายใจขึ้น สามีบอกว่า ไม่อยากนำเครื่องกลับ เพราะจะเสียเวลา กับผดส. ท่านอื่น ๆ ซึ่งตอนนั้น ผู้หญิงคนนั้น เริ่มสงบแล้ว และสัญญาว่า จะไม่โวยวายอีก และทุกอย่างก็สงบโดยดี…สามีเดินกลับมาที่ห้องนักบิน เห็นผู้ช่วยนักบิน นำพระมหาคัมภีร์อัลกุอาน มาวางไว้ตรงคอนโชล สามีแอบขำ แต่เครียดค่ะ ภาวนาให้ถึงที่ไคโรเร็ว ๆ
พอเครื่อง Landing แล้วจอดหลุมเรียบร้อยแล้ว ผดส.ทยอยกันออก ผู้หญิงคนนั้น ยังไม่ยอมลงค่ะ ลูกเรือบอกว่าถึงไคโรแล้ว สามีบอกว่าเธอเครียด เหมือนช็อค นั่งคุยคนเดียวด้วย เวลาสามีเดินผ่านไปห้องน้ำ ก็เห็นว่า เธอนั่งคุยคนเดียว …สามีเดินเข้าไปบอกว่าถึงบ้านแล้ว เธอตอบมาว่า สามีเธอยังไม่ยอมลง อยากนั่งเครื่องบินต่อ ลูกเรือสามคน กับผู้ช่วยนักบิน และสามีดิฉัน ทุกคนมองหน้ากัน พูดไม่ออกค่ะ..เลยต้องแจ้งรถพยาบาลมานำตัวเธอไป ซึ่งเธอบอกว่า เธอต้องเป็นคนไปบอกสามีเธอเอง..เชื่อมั้ยค่ะ ขณะที่รุมผู้หญิงคนนั้นอยู่ ช่างเทคนิค พูด
No Comment